ตอนเริ่มสนใจเศรษฐกิจจริงจัง ผมเจอคำว่า PMI กับ ISM เต็มไปหมดในปฏิทินเศรษฐกิจ
ทุกเดือนพอถึงวันประกาศ ตัวเลขนี้ออกทีไร ตลาด Forex ขยับ แถมทองยังเหวี่ยงแรงอีกต่างหาก
คำถามในหัวตอนนั้นง่ายมาก
“ตัวเลขที่มาจากแบบสอบถามไม่กี่ข้อ เนี่ยนะ จะเขย่าตลาดทั้งโลกได้?”
พอค่อยๆ ศึกษา ผมถึงเข้าใจว่า
PMI/ISM ไม่ได้เป็นแค่ตัวเลขสวยๆ บนกราฟ แต่คือ “เสียงจากหน้าโรงงานและออฟฟิศจริงๆ”
มันคือข้อมูลจากผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อที่กำลังสัมผัสยอดสั่งซื้อ สต็อกของ และคิวงานทุกวัน
บทความนี้เลยอยากพาไล่ทีละขั้นว่า
- PMI คืออะไร
- ISM คือใคร
- ต่างกันยังไงกับ PMI เจ้าอื่น
- และที่สำคัญที่สุด อ่าน PMI/ISM ยังไงให้แปลเป็นภาพเศรษฐกิจ และต่อยอดสู่แผนเทรดได้จริง
ผมจะเล่าแบบภาษาคนเทรด ไม่ใช่ภาษาหนังสือเรียน
PMI คืออะไร ถ้าเล่าแบบไม่วิชาการเกินไป
PMI – Purchasing Managers’ Index หรือ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ
คือดัชนีเศรษฐกิจที่ได้จาก “การสำรวจ” บริษัทเอกชนในภาคการผลิตและบริการทุกเดือน
ผู้ที่ถูกถามส่วนใหญ่คือ
- ผู้จัดการจัดซื้อ
- ผู้บริหารสายปฏิบัติการ
- คนที่รู้ว่าตอนนี้มีออเดอร์เข้า–ออกแค่ไหน
คำถามจะคล้ายๆ กัน เช่น
- ยอดสั่งซื้อใหม่เพิ่มขึ้นเทียบเดือนที่แล้วไหม
- การผลิตมากขึ้นหรือน้อยลง
- การจ้างงานเป็นยังไง
- สต็อกเพิ่มหรือลด
- ซัพพลายเออร์ส่งของเร็วขึ้นหรือช้าลง
สิ่งสำคัญคือ ไม่ได้ถามตัวเลขยอดขายจริง
แต่ถามเป็นรูปแบบง่ายๆ ว่า “ดีขึ้น / เท่าเดิม / แย่ลง” เทียบกับเดือนก่อน
จากนั้นจึงนำคำตอบมาคำนวณเป็นดัชนีค่าเดียว ระหว่าง 0–100
- มากกว่า 50 = ภาพรวม “ดีขึ้น”
- น้อยกว่า 50 = ภาพรวม “แย่ลง”
- 50 ตรงๆ = โดยรวม “ไม่เปลี่ยน”
เลยมีคนชอบเรียก PMI ว่า “เช็กร่างกายรายเดือนของเศรษฐกิจ”
ไม่ต้องรอตัวเลข GDP ที่ออกช้าหลายเดือน
ISM คือใคร แล้ว ISM PMI ต่างจาก PMI เจ้าอื่นยังไง
ISM – Institute for Supply Management เป็นสมาคมด้านจัดซื้อและซัพพลายเชนในสหรัฐ ก่อตั้งตั้งแต่ปี 1915 และเริ่มทำแบบสำรวจ PMI มาตั้งแต่ทศวรรษ 1930 ถือเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่เก่าแก่และมีคนตามที่สุดของสหรัฐ I
ทุกเดือน ISM จะออก
- ISM Manufacturing PMI – ภาคการผลิต
- ISM Services PMI (หรือเดิมชื่อ Non-Manufacturing) – ภาคบริการ
ขณะเดียวกันทั่วโลกก็มีเจ้าอื่นทำ PMI ด้วย เช่น JP Mogan
ดังนั้นเวลาเราเห็นคำว่า PMI เฉยๆ ให้เช็กเสมอว่า
- มาจาก ISM หรือ
- มาจาก S&P Global / Markit หรือเจ้าอื่น
เพราะแต่ละสำนักใช้วิธีสำรวจและกลุ่มตัวอย่างแตกต่างกันนิดหน่อย ทำให้ตัวเลขไม่จำเป็นต้องเท่ากันเป๊ะๆ ในเดือนเดียวกัน
กลไก “ดัชนีแพร่กระจาย” ทำไม 50 จึงคือเส้นกึ่งกลาง
ทั้ง PMI ของ ISM และของ S&P Global ใช้สิ่งที่เรียกว่า Diffusion Index
คอนเซ็ปต์ง่ายมาก
- สมมติถามคำถามว่า “ยอดสั่งซื้อใหม่เป็นอย่างไรเมื่อเทียบเดือนก่อน?”
ถ้าตอบว่า “เพิ่มขึ้น” = นับเป็น P₁
“เท่าเดิม” = P₂
“ลดลง” = P₃ - ถ้าตอบว่า “เพิ่มขึ้น” = นับเป็น P₁
- “เท่าเดิม” = P₂
- “ลดลง” = P₃
- เอาสัดส่วนร้อยละของแต่ละคำตอบไปคำนวณตามสูตรมาตรฐาน
PMI=(P1−P3)/2+50PMI = (P_1 – P_3)/2 + 50PMI=(P1−P3)/2+50 - ถ้า ทุกคนตอบดีขึ้น → ค่า PMI = 100
ถ้า ทุกคนตอบแย่ลง → ค่า PMI = 0
ถ้า ทุกคนบอกว่าเหมือนเดิม → PMI = 50 พอดี
เลยได้กติกาที่จำง่ายมากว่า
- เหนือ 50 = ธุรกิจส่วนใหญ่รายงานว่าดีขึ้น
- ต่ำกว่า 50 = ส่วนใหญ่แย่ลง
- ยิ่งห่างจาก 50 เยอะเท่าไหร่ การเปลี่ยนแปลงยิ่งแรงเท่านั้น

ข้างใน ISM Manufacturing PMI มีอะไรบ้าง
เวลาเปิดข่าว เรามักเห็นแค่เลขเดียว เช่น
“ISM Manufacturing PMI อยู่ที่ 48.7 จุด ต่ำกว่า 50 ต่อเนื่อง บ่งชี้ว่าภาคการผลิตยังหดตัว”
แต่จริงๆ แล้วตัวเลขนี้เป็น ดัชนีรวม (Composite) ที่มาจาก 5 ส่วนหลักๆ ของแบบสอบถาม คือ
- New Orders – คำสั่งซื้อใหม่ (น้ำหนักราว 30%)
- Production – การผลิต (25%)
- Employment – การจ้างงาน (20%)
- Supplier Deliveries – ความเร็วการส่งมอบของซัพพลายเออร์ (15%)
- Inventories – สินค้าคงคลัง (10%)
แต่ละส่วนเป็นดัชนีแบบ diffusion ของตัวเอง ก่อนนำมารวมเป็นค่า PMI อีกที
สำหรับเทรดเดอร์ จุดนี้สำคัญมาก เพราะบางครั้ง
- ตัวเลข Headline ดูกลางๆ
- แต่ “New Orders” ดิ่งลงแรง
- หรือ “Prices / Supplier Deliveries” สูงผิดปกติ
สิ่งเหล่านี้บอกเล่าเรื่องราวในเชิงลึกกว่าตัวเลขหน้าปก
ค่า 50, 55, 45, 60 แปลว่าอะไรในทางปฏิบัติ
ผมชอบมอง PMI เหมือน “เส้นแบ่งเขตอากาศเศรษฐกิจ”
เหนือ 50 เล็กน้อย: เศรษฐกิจกำลังขยาย แต่ไม่แรง
ตัวอย่างเช่น PMI ภาคบริการจีนเดือนตุลาคม 2025 ที่ 52.6
แปลว่ากิจกรรมบริการยังขยายตัว แต่ช้าลงจากเดือนก่อนที่ 52.9
ระดับประมาณ 51–53
คือโหมดเศรษฐกิจ “ฟื้นตัวช้าๆ” ยังไม่ได้ร้อนแรง
เกิน 55: เริ่มร้อน
เมื่อดัชนีขึ้นไปแถว 55–60 ติดต่อกันหลายเดือน
- นักวิเคราะห์มักมองว่าเศรษฐกิจ “กำลังวิ่งแรง”
- ธนาคารกลางอาจเริ่มคิดเรื่องขึ้นดอกเบี้ย หรือถอนมาตรการผ่อนคลาย
เคสเช่นหลายประเทศที่ PMI ภาคบริการหรือการผลิตขึ้นทำจุดสูงสุดหลายปีในช่วงเศรษฐกิจฟื้นหลังโควิด
ต่ำกว่า 50: เข้าโหมดหดตัว
อย่างข่าว ISM Manufacturing PMI สหรัฐเดือนตุลาคม 2025 ที่ลงไปแถว 48.7
และอยู่ต่ำกว่า 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8
ชี้ว่าภาคการผลิตของสหรัฐหดตัวต่อเนื่อง
ถ้าตัวเลขลงแถว 47–48 หลายเดือนติด แปลว่าเริ่มไม่ใช่แค่ “ชะลอ” แต่เป็นการหดตัวที่ควรจับตาจริงจัง
กลับตัวรอบ 50: เส้นแบ่งจิตวิทยาตลาด
เวลา PMI ข้าม 50 จากล่างขึ้นบน หรือบนลงล่าง
ตลาดมักตอบสนองแรงเป็นพิเศษ เพราะเหมือนเศรษฐกิจเปลี่ยนโหมด
- ขึ้นจาก 49 → 51 = จากหดตัวเป็นขยาย
- ลงจาก 52 → 49 = จากขยายเป็นหดตัว
ISM vs S&P Global PMI ต่างกันยังไง ต้องดูตัวไหน
ในสหรัฐมีทั้ง
- ISM PMI
- S&P Global (เดิม IHS Markit) PMI
ทั้งสองเจ้าถูกใช้เป็นตัวชี้วัดสภาวะธุรกิจเหมือนกัน แต่มีจุดต่างสำคัญ
- กลุ่มตัวอย่าง
ISM เน้นสมาชิกในสมาคมจัดซื้อของสหรัฐ
S&P Global เลือกบริษัทให้สะท้อนโครงสร้างเศรษฐกิจจากข้อมูลมูลค่าเพิ่ม - ISM เน้นสมาชิกในสมาคมจัดซื้อของสหรัฐ
- S&P Global เลือกบริษัทให้สะท้อนโครงสร้างเศรษฐกิจจากข้อมูลมูลค่าเพิ่ม
- วิธีคำนวณย่อย
ทั้งคู่ใช้ diffusion index แต่รายละเอียดน้ำหนัก และคำนิยามบางหมวดต่างกัน - ทั้งคู่ใช้ diffusion index แต่รายละเอียดน้ำหนัก และคำนิยามบางหมวดต่างกัน
- ความครอบคลุมประเทศ
ISM เน้นสหรัฐ
S&P Global ทำ PMI ให้หลายประเทศ รวมถึง Global PMI - ISM เน้นสหรัฐ
- S&P Global ทำ PMI ให้หลายประเทศ รวมถึง Global PMI
ผลคือเลขโดยรวมอาจขึ้นลงในทิศทางคล้ายกัน แต่ระดับตัวเลขอาจต่างกันเล็กน้อย เช่น ISM Manufacturing อยู่ต่ำกว่า 50 เล็กน้อย ขณะที่ S&P Global US Manufacturing PMI อาจอยู่แถว 50+ เล็กน้อยในบางเดือน
สำหรับผม:
- ถ้าดู “เฉพาะสหรัฐ” และเทียบกับประวัติศาสตร์ยาวๆ = ISM สำคัญมาก
- ถ้าดูหลายประเทศพร้อมกัน = S&P Global PMI ช่วยให้เปรียบเทียบข้ามประเทศง่ายกว่า
ทำไม PMI/ISM จึงเป็นเครื่องมืออ่านเศรษฐกิจที่ตลาดให้ความสำคัญ
เหตุผลหลักมีสามข้อ
1. รายเดือน และออกเร็ว
PMI ออกต้นเดือน และสะท้อนข้อมูลของเดือนที่เพิ่งจบไปไม่นาน
เร็วกว่าตัวเลข GDP ที่มาทีหลังเป็นไตรมาส
เลยกลายเป็น ข้อมูลนำทาง (Leading Indicator) ที่นักวิเคราะห์ใช้เดาว่า
- เศรษฐกิจไตรมาสนี้โตแค่ไหน
- ดอกเบี้ยควรอยู่ระดับไหน
2. มาจากคนที่ “จับชีพจรธุรกิจจริง”
ผู้จัดการจัดซื้อจะเห็นคำสั่งซื้อ สต็อก และปัญหาในห่วงโซ่อุปทานก่อนฝั่งนักบัญชีเห็นตัวเลขงบการเงินเสียอีก
เวลาเขาบอกว่า
- ออเดอร์ใหม่เริ่มชะลอ
- ซัพพลายเออร์ส่งของช้าขึ้น
- ต้องลดคนหรือลด OT
นั่นคือสัญญาณล่วงหน้าของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
3. มีสถิติสัมพันธ์กับ GDP และการจ้างงาน
งานวิจัยและบทวิเคราะห์หลายแห่งพบว่า
- PMI ภาคการผลิตและบริการมีความสัมพันธ์กับการเติบโตของ GDP และการจ้างงานพอสมควร
- ดัชนีต่ำกว่า 50 เป็นระยะ มักพ้องกับช่วงเศรษฐกิจอ่อนแรง
จึงมีหลายสำนักใช้ PMI เป็น “แบบจำลองลัด” เพื่อคาดการณ์ GDP รายไตรมาส
อ่าน PMI/ISM อย่างไรทีละขั้นสำหรับเทรดเดอร์
เวลาจะอ่าน PMI ผมใช้ขั้นตอนง่ายๆ 6 ข้อ
ขั้นที่ 1: เช็กว่าพูดถึงตัวไหน
- ISM Manufacturing หรือ Services
- PMI ของประเทศไหน
- เป็นของ ISM หรือ S&P Global
เพราะผลกระทบต่อสินทรัพย์ที่เราเทรดจะต่างกัน เช่น
- เทรดทอง–Forex → เน้น PMI สหรัฐ จีน ยุโรป
- เทรดหุ้นไทย → PMI จีน/สหรัฐ มีผลทางอ้อมต่อการส่งออก
ขั้นที่ 2: เทียบกับระดับ 50
ถามตัวเองว่า
- อยู่เหนือหรือต่ำกว่า 50
- อยู่ตรงนี้ต่อเนื่องมากี่เดือนแล้ว
ถ้าเพิ่งหลุด 50 ลงมาเดือนแรก ตลาดมักผันผวนแรง เพราะเป็นสัญญาณว่า “โหมดเศรษฐกิจเปลี่ยนแล้ว”
ขั้นที่ 3: เทียบกับเดือนก่อน
ดู “ทิศทาง” สำคัญกว่าเลขเดียวโดดๆ
- จาก 55 → 52 ยังขยายตัว แต่ความร้อนแรงลดลง
- จาก 47 → 49 ยังหดตัว แต่เริ่มหดตัวน้อยลง
สำหรับตลาดการเงิน ความเปลี่ยนแปลงนี้แหละที่ตลาดเทรดกัน
ขั้นที่ 4: เทียบกับคาดการณ์ตลาด
ปฏิทินเศรษฐกิจอย่าง Investing.com หรือ TradingEconomics.com จะมีทั้งตัวเลขที่ออกจริง กับตัวเลขคาดการณ์ (Consensus
- ถ้าออกมาดีกว่าคาดเยอะ → เซอร์ไพรส์เชิงบวก
- แย่กว่าคาดเยอะ → เซอร์ไพรส์เชิงลบ
เช่น ถ้าตลาดคาด ISM Manufacturing 50.5 แต่ตัวเลขจริงออกมา 47
บ่อยครั้ง USD จะถูกกดดัน เพราะตลาดต้องปรับมุมมองต่อเศรษฐกิจและดอกเบี้ยใหม่
ขั้นที่ 5: แอบดู Sub-index
อย่าดูแต่ Headline อย่างเดียว
- New Orders บอกอนาคตใกล้ของการผลิต
- Employment บอกการจ้างงานในภาคธุรกิจ
- Prices / Input Costs บอกแรงกดดันเงินเฟ้อ
- Supplier Deliveries บอกว่าห่วงโซ่อุปทานตึงตัวแค่ไหน
บางที Headline ไม่เปลี่ยนมาก แต่ Sub-index กลับบอกเรื่องที่ตลาดต้องกังวล เช่น
- คำสั่งซื้อใหม่ร่วง
- ราคาวัตถุดิบพุ่ง
- การจ้างงานหดตัวต่อเนื่อง
ขั้นที่ 6: เอาไปผูกกับภาพใหญ่และสินทรัพย์ที่เทรด
ตัวอย่างการแปลเป็นแผนเทรด
- PMI สหรัฐหดตัวต่อเนื่อง ต่ำกว่า 50 หลายเดือน
→ ตลาดเริ่มคาดว่าจะลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น
→ ดอลลาร์มีโอกาสอ่อนค่า ทองและสินทรัพย์เสี่ยงอาจได้แรงหนุน - PMI จีนอ่อนแรง
→ ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์โลกลดลง
→ มีผลต่อหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ค่าเงินประเทศส่งออก และตลาดเกิดใหม่
เคสตัวอย่าง: วันประกาศ PMI แล้วกราฟเหวี่ยง
ลองสมมติสถานการณ์หนึ่งให้เห็นภาพ
- ตลาดคาด ISM Manufacturing สหรัฐ = 50.0
- ตัวเลขเดือนก่อน = 49.5
- นักลงทุนหวังว่ารอบนี้จะกลับขึ้นโซนขยายตัว
แต่พอตัวเลขออกจริง
- ISM Manufacturing = 47.8 (ต่ำกว่าคาดมาก)
- New Orders ต่ำกว่า 45
- Employment ยังอยู่ในโซนหดตัว
สิ่งที่ผมคาดว่าอาจเกิดขึ้นได้ในระยะสั้น
- USD อ่อนค่า
เพราะตลาดตีความว่าเศรษฐกิจเริ่มแย่กว่าที่คิด โอกาสขึ้นดอกเบี้ยลดลง หรืออาจต้องลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น - ทองและเงินเยนแข็งขึ้น
นักลงทุนเริ่มหาสินทรัพย์ปลอดภัยแทน - หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมกดดัน
เพราะ ISM Manufacturing สะท้อนภาคโรงงานโดยตรง
แน่นอนว่าตลาดจริงมีปัจจัยอื่นร่วมด้วยเสมอ
แต่การเข้าใจโครงสร้าง PMI ทำให้เราอ่านข่าวแบบมีกรอบคิด ไม่ใช่แค่ “ตัวเลขต่ำกว่า 50 แล้วไงต่อ”
ข้อจำกัดและกับดักของการใช้ PMI/ISM
ไม่มีดัชนีไหนวิเศษจนใช้เดี่ยวๆ ได้ตลอด
1. สำรวจจากความรู้สึก ณ ตอนนั้น
ถึงจะเน้นคำถามข้อเท็จจริง แต่ก็ยังขึ้นกับความรับรู้ของผู้ตอบแบบสอบถามในช่วงเวลานั้น
ในภาวะที่ข่าวร้ายเยอะ คนมักมองโลกแย่กว่าความจริง และสะท้อนออกมาใน PMI ด้วย
2. เน้นภาคการผลิตมากกว่าบริการในบางประเทศ
เดิมที PMI ของหลายประเทศเริ่มจากภาคการผลิตก่อน ทั้งที่เศรษฐกิจยุคใหม่พึ่งบริการมากขึ้น
ดังนั้นถ้าดูแค่ Manufacturing PMI อาจไม่ครบภาพ
โชคดีที่ตอนนี้ส่วนใหญ่มี Services PMI เพิ่มแล้ว เช่นของ ISM และ S&P Global
3. เป็นเพียง “การเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อน”
ค่าที่ประมาณ 50 ไม่ได้แปลว่าเศรษฐกิจดีหรือแย่
แค่บอกว่า “ไม่เปลี่ยนจากเดือนก่อน” เท่านั้น
เศรษฐกิจอาจอยู่ในระดับแย่ แต่ไม่แย่ลง → PMI ใกล้ 50 ได้เหมือนกัน
4. ตลาดบางครั้ง “รู้ล่วงหน้า” แล้ว
โดยเฉพาะในยุคข้อมูลเยอะ ข้อมูลย่อยจากภาคธุรกิจหรือการคาดการณ์ของสำนักวิจัย อาจทำให้ตลาดปรับตัวล่วงหน้าก่อนตัวเลขจริงออก
ผลคือ วันประกาศจริง ตัวเลขอาจไม่ทำให้กราฟเหวี่ยงอย่างที่คิด เพราะตลาด “รับข่าวไปแล้ว”
เอา PMI/ISM ไปใส่ใน Workflow การเทรดยังไงดี
สำหรับผม ตัวเลขพวกนี้อยู่ใน Macro Dashboard ส่วนตัวเสมอ
ทุกเดือนก่อนมีการประชุมธนาคารกลางใหญ่ๆ ผมจะดูชุดข้อมูลประมาณนี้
- PMI / ISM ของสหรัฐ ยุโรป จีน
- ตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI / PCE)
- ตัวเลขแรงงาน (NFP)
- Bond Yield โดยเฉพาะ US 10Y
- Dollar Index (DXY)
จากนั้นตั้งคำถามง่ายๆ ว่า
- ภาพเศรษฐกิจตอนนี้ “ร้อนเกินไป / กำลังดี / เริ่มเย็น”
- ธนาคารกลางมีเหตุผลจะขึ้น–คง–ลดดอกเบี้ยไหม
- เม็ดเงินมีแนวโน้มไหลไปสินทรัพย์เสี่ยงหรือสินทรัพย์ปลอดภัย
การมี PMI/ISM อยู่ในชุดข้อมูลนี้ ทำให้ภาพประกอบสมบูรณ์ขึ้นมาก
เพราะมันเล่า “เสียงจากบริษัทจริง” ไม่ใช่แค่ตัวเลขโต–หดที่ออกช้าหลายเดือน
มอง PMI/ISM แบบคนอ่านเกมมหภาค
ถ้าจะเก็บใจความจากทั้งบทความนี้ไว้ไม่กี่ข้อ ผมอยากให้จำว่า
- PMI คือดัชนีจากแบบสอบถามผู้จัดการจัดซื้อ วัดการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจแบบรายเดือน
- ISM PMI และ S&P Global PMI คือสองเจ้าใหญ่ ที่ตลาดทั่วโลกใช้ติดตาม
- ค่า 50 เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างขยายกับหดตัว แต่ทิศทางการเปลี่ยนเทียบเดือนก่อน และเทียบคาดการณ์ตลาดสำคัญกว่าเลขเป๊ะๆ
- การอ่าน Sub-index อย่าง New Orders, Employment, Prices ช่วยให้เข้าใจความลึกของเศรษฐกิจมากขึ้น
- สำหรับเทรดเดอร์ CFD / Forex / ทองคำ
PMI/ISM คือสัญญาณสำคัญต่อมุมมองดอกเบี้ย ค่าเงิน และความเสี่ยงในระบบ
ใช้คู่กับดัชนีอื่นอย่าง DXY, Bond Yield, CPI จะยิ่งเห็นภาพใหญ่ชัด - PMI/ISM คือสัญญาณสำคัญต่อมุมมองดอกเบี้ย ค่าเงิน และความเสี่ยงในระบบ
- ใช้คู่กับดัชนีอื่นอย่าง DXY, Bond Yield, CPI จะยิ่งเห็นภาพใหญ่ชัด
สุดท้าย PMI/ISM ไม่ได้ทำให้ใคร “ฟันกำไรแน่นอน”
แต่ช่วยให้เราไม่ต้องเทรดแบบเดาสุ่ม
ให้เรามองตลาดผ่านสายตาของคนที่อยู่หน้าโรงงานและหน้าออฟฟิศจริงๆ ทุกเดือน
ใครที่อยากจริงจังกับการอ่านเกมมหภาค
การเข้าใจว่า PMI/ISM อ่านอย่างไร
คือหนึ่งในเครื่องมือพื้นฐานที่ผมเชื่อว่าควรมีติดตัวทุกคน




