ผมจะมาเล่าเรื่องการลงทุนใน “สินค้าโภคภัณฑ์” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ นอกเหนือจากการลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ หรืออสังหาริมทรัพย์ หลายคนอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับคำนี้ หรืออาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว แต่จริงๆ แล้ว สินค้าโภคภัณฑ์นั้นอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด และสามารถเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ และช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุนได้เป็นอย่างดี ในฐานะที่ผมคลุกคลีในวงการการเงินและการลงทุนมาหลายปี ผมอยากจะแบ่งปันประสบการณ์และมุมมองของผมเกี่ยวกับสินทรัพย์ประเภทนี้ เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ นักลงทุนทุกท่านนะครับ
สินค้าโภคภัณฑ์คืออะไร?
สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) คือ วัตถุดิบพื้นฐาน หรือสินค้าเกษตรกรรมที่เป็นที่ต้องการในตลาดโลก พูดง่ายๆ คือ เป็นสิ่งของที่จับต้องได้ และสามารถนำไปใช้ประโยชน์หรือแปรรูปต่อได้ สินค้าโภคภัณฑ์สามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ดังนี้:
- พลังงาน: น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน
- โลหะ: ทองคำ เงิน ทองแดง อลูมิเนียม
- เกษตรกรรม: ข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่วเหลือง น้ำตาล กาแฟ โกโก้ ฝ้าย
- ปศุสัตว์: เนื้อวัว เนื้อหมู
ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดขึ้น สมมติว่าคุณกำลังดื่มกาแฟแก้วโปรดอยู่ในร้านกาแฟสุดชิค เมล็ดกาแฟที่ใช้ชงกาแฟแก้วนั้น ก็ถือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทหนึ่ง หรือน้ำมันที่คุณเติมรถยนต์ทุกสัปดาห์ก็เป็นสินค้าโภคภัณฑ์เช่นกัน จะเห็นได้ว่าสินค้าโภคภัณฑ์นั้นเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราอย่างแยกไม่ออกเลยทีเดียว
ทำไมต้องลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์?
หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วทำไมเราถึงควรลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ ในเมื่อเราสามารถลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ เช่น หุ้น หรือตราสารหนี้ได้? จากประสบการณ์ของผม ผมมองว่าการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์มีข้อดีหลายประการ ดังนี้:
1. ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (Inflation Hedge)
ข้อนี้ถือเป็นจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์เลยครับ เมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อ ราคาสินค้าและบริการต่างๆ มักจะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินลดลง พูดง่ายๆ คือ เงินจำนวนเท่าเดิม แต่ซื้อของได้น้อยลง ในทางกลับกัน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มักจะปรับตัวสูงขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ เนื่องจากเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้าและบริการต่างๆ ดังนั้น การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์จึงเปรียบเสมือนการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ ช่วยรักษามูลค่าของเงินลงทุนของเราไว้ได้
ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ราคาพลังงานอื่นๆ เช่น ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ก็มักจะปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการต่างๆ เพิ่มขึ้น และนำไปสู่การปรับขึ้นราคาสินค้าในที่สุด หากเราลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทพลังงานในช่วงเวลานี้ มูลค่าการลงทุนของเราก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย ช่วยชดเชยผลกระทบจากเงินเฟ้อได้
2. กระจายความเสี่ยง (Diversification)
หลักการสำคัญของการลงทุนคือ “อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว” การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์เป็นการกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์อีกประเภทหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับสินทรัพย์อื่นๆ เช่น หุ้น หรือตราสารหนี้ต่ำ หมายความว่า เมื่อราคาหุ้นหรือตราสารหนี้ตกต่ำ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อาจจะไม่ได้ปรับตัวลงตามไปด้วย หรืออาจจะปรับตัวสูงขึ้นสวนทางกันก็ได้
ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่าเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นอาจจะตกต่ำอย่างหนัก แต่ราคาทองคำ ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) อาจจะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนหันมาลงทุนในทองคำเพื่อรักษาความปลอดภัยของเงินลงทุน การมีทองคำอยู่ในพอร์ตการลงทุนของเราในช่วงเวลานี้ ก็จะช่วยลดผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจได้
3. โอกาสสร้างผลตอบแทน
นอกจากจะป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและกระจายความเสี่ยงแล้ว การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจอีกด้วย ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มักจะมีความผันผวนสูง ซึ่งหมายความว่ามีโอกาสทำกำไรได้มาก แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน ดังนั้น นักลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด และลงทุนด้วยความระมัดระวัง
4. สภาพคล่องสูง
สินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่มีการซื้อขายกันในตลาดโลกที่มีสภาพคล่องสูง หมายความว่า นักลงทุนสามารถซื้อขายได้ง่ายและรวดเร็ว ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่อาจจะขายได้ยากและใช้เวลานาน
วิธีการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์
ปัจจุบันมีวิธีการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์หลากหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ผมจะขออธิบายวิธีการลงทุนที่นิยมกันในปัจจุบัน ดังนี้:
1. การซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures Contracts)
การซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเป็นวิธีการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด สัญญาซื้อขายล่วงหน้าคือข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายที่จะซื้อหรือขายสินค้าโภคภัณฑ์ในราคาที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า ณ วันที่กำหนดในอนาคต การซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์และยอมรับความเสี่ยงได้สูง
2. การลงทุนผ่านกองทุนรวม (Mutual Funds)
สำหรับนักลงทุนที่ไม่มีเวลาศึกษาข้อมูลหรือไม่มีประสบการณ์ในการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า การลงทุนผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ กองทุนรวมจะบริหารจัดการโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ ซึ่งจะทำหน้าที่คัดเลือกและลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ แทนนักลงทุน การลงทุนผ่านกองทุนรวมมีข้อดีคือ สะดวก รวดเร็ว และมีความเสี่ยงน้อยกว่าการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าโดยตรง
3. การลงทุนผ่านกองทุน ETF (Exchange Traded Funds)
กองทุน ETF คือกองทุนรวมที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เหมือนหุ้น นักลงทุนสามารถซื้อขายกองทุน ETF ได้ง่ายและรวดเร็วผ่านโบรกเกอร์ กองทุน ETF ที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์มีให้เลือกหลากหลาย เช่น กองทุน ETF ที่ลงทุนในทองคำ น้ำมันดิบ หรือดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ
4. การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์จริง (Physical Commodities)
การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์จริง เช่น การซื้อทองคำแท่งเก็บไว้ วิธีนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการถือครองสินค้าโภคภัณฑ์นั้นจริงๆ แต่ก็มีข้อเสียคือ ต้องมีสถานที่จัดเก็บที่ปลอดภัย และอาจจะมีค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา
ปัจจัยที่มีผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ผมจะขอสรุปปัจจัยหลักๆ ที่มีผลต่อราคาดังนี้:
1. อุปสงค์และอุปทาน (Supply and Demand)
หลักการพื้นฐานของเศรษฐศาสตร์ อุปสงค์คือความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์นั้นๆ ส่วนอุปทานคือปริมาณสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีอยู่ในตลาด เมื่ออุปสงค์มากกว่าอุปทาน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็จะปรับตัวสูงขึ้น ในทางกลับกัน เมื่ออุปทานมากกว่าอุปสงค์ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็จะปรับตัวลดลง
2. สภาพเศรษฐกิจโลก (Global Economic Conditions)
สภาวะเศรษฐกิจโลกมีผลต่อความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ ในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโต ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์มักจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น ในทางกลับกัน ช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์มักจะลดลง ส่งผลให้ราคาปรับตัวลดลง
3. สภาพภูมิอากาศ (Weather Conditions)
สภาพภูมิอากาศมีผลต่อผลผลิตทางการเกษตร ตัวอย่างเช่น ภัยแล้งหรือน้ำท่วมอาจจะทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย ส่งผลให้อุปทานลดลงและราคาปรับตัวสูงขึ้น
4. นโยบายของรัฐบาล (Government Policies)
นโยบายของรัฐบาล เช่น นโยบายการค้า นโยบายการเงิน และนโยบายภาษี ล้วนมีผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ตัวอย่างเช่น การที่รัฐบาลประกาศขึ้นภาษีนำเข้าน้ำมันดิบ อาจจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในประเทศปรับตัวสูงขึ้น
5. เหตุการณ์สำคัญต่างๆ (Major Events)
เหตุการณ์สำคัญต่างๆ เช่น สงคราม การก่อการร้าย หรือโรคระบาด อาจจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้ ตัวอย่างเช่น การเกิดสงครามในตะวันออกกลางอาจจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากตะวันออกกลางเป็นแหล่งผลิตน้ำมันดิบที่สำคัญของโลก
6. การเก็งกำไร (Speculation)
การเก็งกำไรของนักลงทุนก็มีผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์เช่นกัน เมื่อนักลงทุนคาดการณ์ว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะปรับตัวสูงขึ้น ก็จะแห่กันเข้ามาซื้อ ส่งผลให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อนักลงทุนคาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวลดลง ก็จะแห่กันขาย ส่งผลให้ราคาปรับตัวลดลง
ข้อควรระวังในการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์
แม้ว่าการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์จะมีข้อดีหลายประการ แต่ก็มีความเสี่ยงที่นักลงทุนควรระวัง ดังนี้:
1. ความผันผวนของราคา (Price Volatility)
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีความผันผวนสูง นักลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด และลงทุนด้วยความระมัดระวัง ไม่ควรลงทุนด้วยเงินทั้งหมดที่มีอยู่ ควรลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
2. ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Risk)
สินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่ซื้อขายกันในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น นักลงทุนไทยจึงต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน หากเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ นักลงทุนอาจจะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
3. ความเสี่ยงจากการเก็บรักษา (Storage Risk)
การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์จริง เช่น ทองคำแท่ง นักลงทุนต้องมีสถานที่จัดเก็บที่ปลอดภัย และอาจจะมีค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา
4. ความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวง (Fraud Risk)
ในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์อาจจะมีการหลอกลวงเกิดขึ้นได้ นักลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด และเลือกซื้อขายกับโบรกเกอร์หรือกองทุนที่มีความน่าเชื่อถือ
บทสรุป
การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ กระจายความเสี่ยง และสร้างผลตอบแทน อย่างไรก็ตาม การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน นักลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ทำความเข้าใจปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อราคา และลงทุนด้วยความระมัดระวัง ผมหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ นักลงทุนทุกท่าน และช่วยให้ทุกท่านตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้นนะครับ
ขอให้ทุกท่านโชคดีกับการลงทุนครับ!