สวัสดีครับเพื่อนๆ นักลงทุน วันนี้ผมขอพาไปสำรวจโลกของ “ดัชนี” กันหน่อย หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับคำว่า SET Index หรือ Dow Jones แต่รู้หรือไม่ว่า จริงๆ แล้วดัชนีมีหลากหลายประเภทมาก เหมือนกับกาแฟ ที่มีทั้งเอสเพรสโซ่ อเมริกาโน่ ลาเต้ คาปูชิโน่ ขึ้นอยู่กับส่วนผสมและวิธีการชง ดัชนีก็เช่นกัน มีทั้งแบบ Global, Regional และ Local ซึ่งแต่ละแบบก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป
ก่อนอื่นเลย ขอปูพื้นฐานกันก่อนว่า “ดัชนี” คืออะไร? ง่ายๆ เลยครับ มันก็คือตัวเลขที่สะท้อนถึงภาพรวมของตลาดหุ้น เปรียบเสมือน “เทอร์โมมิเตอร์” ที่ใช้วัดไข้ของตลาด ถ้าดัชนีขึ้น แปลว่าตลาดกำลังร้อนแรง หุ้นส่วนใหญ่ราคาพุ่ง แต่ถ้าดัชนีร่วง ก็แสดงว่าตลาดกำลังซบเซา
ทีนี้ มาดูกันว่า ดัชนีมีกี่ประเภท และแต่ละประเภทมีอะไรน่าสนใจบ้าง
ดัชนีระดับโลก (Global Indices)
พวกนี้คือดัชนีที่รวบรวมหุ้นจากทั่วโลก เป็นเหมือนภาพใหญ่ ที่แสดงให้เห็นถึงสุขภาพของเศรษฐกิจโลก ตัวอย่างที่โด่งดังก็คือ
- Dow Jones Industrial Average (DJIA) ดัชนีรุ่นเก๋าจากอเมริกา คำนวณจากหุ้นบริษัทชั้นนำ 30 ตัว เช่น Apple, Microsoft, Boeing (https://www.dowjones.com/) ข้อดีคือ เข้าใจง่าย ดูแนวโน้มตลาดได้ชัดเจน แต่ก็มีข้อจำกัด คือ ครอบคลุมหุ้นน้อยตัว อาจจะไม่สะท้อนภาพรวมตลาดได้ครบถ้วน
- S&P 500 อีกหนึ่งดัชนียอดฮิตจากแดนลุงแซม ครอบคลุมบริษัทใหญ่ 500 แห่ง (https://www.spglobal.com/spdji/) ตัวนี้ ถือว่าเป็นตัวแทนของตลาดหุ้นอเมริกาได้ดีกว่า DJIA เพราะมีจำนวนหุ้นมากกว่า และกระจายตัวในหลายอุตสาหกรรม
ดัชนีระดับภูมิภาค (Regional Indices)
ดัชนีกลุ่มนี้ จะโฟกัสที่หุ้นในภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง เช่น เอเชีย ยุโรป หรืออเมริกาใต้ ช่วยให้เห็นภาพเศรษฐกิจของแต่ละภูมิภาคได้ชัดเจนขึ้น ตัวอย่างเช่น
- Nikkei 225 ดัชนีจากญี่ปุ่น คำนวณจากหุ้น 225 ตัวในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (https://indexes.nikkei.co.jp/en/nkave/) ใครที่สนใจลงทุนในญี่ปุ่น ต้องติดตาม Nikkei 225 ไว้ให้ดี
- Hang Seng Index ดัชนีจากฮ่องกง ประกอบด้วยหุ้นบริษัทชั้นนำ เช่น Tencent, Alibaba (https://www.hsi.com.hk/HSI-Net/HSI-Net) ใช้เป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจของฮ่องกง และจีนแผ่นดินใหญ่ได้ในระดับหนึ่ง
ดัชนีระดับประเทศ (Local Indices)
แน่นอนครับ ประเทศไทยของเราก็มีดัชนีเป็นของตัวเอง นั่นก็คือ
- SET Index ดัชนีที่คุ้นเคยกันดี คำนวณจากหุ้นทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (https://www.set.or.th/) เป็นเหมือนกระจกสะท้อนเศรษฐกิจไทย ถ้า SET Index ขึ้น แปลว่าเศรษฐกิจไทยกำลังไปได้สวย แต่ถ้า SET Index ลง ก็อาจจะเป็นสัญญาณเตือนว่า เศรษฐกิจกำลังมีปัญหา
นอกจากนี้ ยังมีดัชนีอื่นๆ อีกมากมาย เช่น
- SET50 รวบรวมหุ้นขนาดใหญ่ 50 ตัว
- SET100 รวบรวมหุ้นขนาดกลางและใหญ่ 100 ตัว
- sSET รวบรวมหุ้นขนาดเล็ก
- mai รวบรวมหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ
การเลือกดัชนี ก็เหมือนกับการเลือกกาแฟ ขึ้นอยู่กับความชอบ และความต้องการของแต่ละคน บางคนอาจจะชอบดัชนีระดับโลก ที่ให้ภาพรวมกว้างๆ บางคนอาจจะชอบดัชนีระดับประเทศ ที่เจาะลึกเฉพาะตลาดที่ตัวเองสนใจ
ไม่ว่าจะเลือกดัชนีแบบไหน สิ่งสำคัญคือ ต้องศึกษาข้อมูลให้ดี ทำความเข้าใจวิธีการคำนวณ และปัจจัยที่มีผลต่อดัชนี เพื่อให้สามารถนำข้อมูลไปใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หวังว่าบทความนี้ จะช่วยให้เพื่อนๆ เข้าใจเรื่องดัชนีมากขึ้นนะครับ แล้วพบกันใหม่ ในบทความหน้า สวัสดีครับ!