ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “ดัชนี” หรือ “Index” กันมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็น SET Index, Dow Jones, S&P 500 หรือ NASDAQ แต่เคยสงสัยไหมครับว่า ดัชนีพวกนี้มันคืออะไรกันแน่? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการลงทุนของเรา?
เอาล่ะครับ วันนี้ผมจะมาไขข้อข้องใจ พร้อมอธิบายให้เห็นภาพชัดๆ ว่าทำไมนักลงทุนอย่างเราๆ ถึงต้องให้ความสำคัญกับดัชนีในการลงทุน
ดัชนี คืออะไร? ทำไมต้องรู้จัก?
ลองนึกภาพตลาดหุ้นเป็นเหมือนทะเลอันกว้างใหญ่ มีหุ้นมากมายหลายตัวแหวกว่ายอยู่เต็มไปหมด บางตัวก็ตัวใหญ่ บางตัวก็ตัวเล็ก บางตัวว่ายเร็ว บางตัวว่ายช้า การจะจับตาดูความเคลื่อนไหวของหุ้นทุกตัวในตลาดพร้อมๆ กัน คงเป็นเรื่องยากลำบากเอาการ
ดัชนีก็เปรียบเสมือน “เรือดำน้ำ” ที่คอยสำรวจความเคลื่อนไหวของฝูงปลา (หุ้น) โดยเลือกดูเฉพาะปลาที่ตัวใหญ่และมีอิทธิพลต่อทิศทางของฝูง เช่น ปลาทูน่า (PTT), ปลาฉลาม (SCB), ปลาวาฬ (CPALL) เป็นต้น
เมื่อเรือดำน้ำรายงานว่า “วันนี้ฝูงปลาว่ายขึ้นเหนือ” ก็แปลว่า โดยรวมแล้วตลาดหุ้นกำลังเป็นขาขึ้น ราคาหุ้นส่วนใหญ่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าเรือดำน้ำรายงานว่า “วันนี้ฝูงปลาว่ายลงใต้” ก็แสดงว่าตลาดหุ้นกำลังเป็นขาลง ราคาหุ้นส่วนใหญ่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง
ดัชนีที่นิยมใช้กันทั่วโลก ก็อย่างเช่น
- Dow Jones Industrial Average (DJIA): ดัชนีของตลาดหุ้นสหรัฐฯ คำนวณจากราคาหุ้นของบริษัทชั้นนำ 30 แห่ง
- S&P 500: ดัชนีของตลาดหุ้นสหรัฐฯ คำนวณจากราคาหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ 500 แห่ง
- NASDAQ Composite: ดัชนีของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เน้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
- Nikkei 225: ดัชนีของตลาดหุ้นญี่ปุ่น คำนวณจากราคาหุ้นของบริษัทชั้นนำ 225 แห่ง
- Hang Seng Index: ดัชนีของตลาดหุ้นฮ่องกง
- SET Index: ดัชนีของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คำนวณจากราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนทุกแห่งใน SET
แล้วดัชนีสำคัญกับนักลงทุนอย่างไร?
หลายคนอาจมองว่า ดัชนีเป็นแค่ตัวเลขที่บอกว่าตลาดหุ้นขึ้นหรือลง แต่จริงๆ แล้ว ดัชนีมีประโยชน์ต่อนักลงทุนมากกว่านั้นเยอะครับ ลองมาดูกัน
1. เป็น “ไม้บรรทัด” วัดผลการลงทุน
สมมติว่า ปีที่แล้วผมลงทุนในหุ้น แล้วได้ผลตอบแทน 10% ฟังดูเหมือนจะดีใช่ไหมครับ? แต่ถ้าปีที่แล้ว SET Index ขึ้นไป 15% ล่ะ? แบบนี้แปลว่า จริงๆ แล้วผม “แพ้” ตลาด เพราะผลตอบแทนที่ได้น้อยกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาด
การเปรียบเทียบผลตอบแทนของเรากับดัชนี ช่วยให้เราวัดประสิทธิภาพการลงทุนของตัวเองได้ รู้ว่าเรากำลังทำได้ดีแค่ไหน และมีจุดไหนที่ต้องปรับปรุง
2. ช่วยติดตามสถานการณ์ตลาด
ดัชนีช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของตลาด ว่าตอนนี้ตลาดกำลังเป็นอย่างไร มีแนวโน้มไปในทิศทางไหน
- ถ้าดัชนีขึ้น แสดงว่านักลงทุนกำลังมีความเชื่อมั่น เศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโต
- ถ้าดัชนีลง แสดงว่านักลงทุนกำลังกังวล เศรษฐกิจอาจมีปัญหา
การติดตามดัชนีอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้เราตัดสินใจลงทุนได้อย่างเหมาะสม เช่น ถ้าเห็นว่าดัชนีกำลังอยู่ในช่วงขาลง ก็อาจชะลอการลงทุน หรือขายหุ้นบางส่วนออกมาก่อน เพื่อลดความเสี่ยง
3. ช่วยคัดเลือกหุ้น
บางครั้ง ดัชนีอาจช่วยให้เราเจอ “หุ้นเด็ด” ที่น่าสนใจ
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเห็นว่า ดัชนี SET Index ขึ้นไป 10% แต่มีหุ้นตัวหนึ่งใน SET Index ขึ้นไปถึง 20% แสดงว่าหุ้นตัวนั้นมีผลประกอบการที่ดี และมีโอกาสเติบโตสูง
4. ใช้เป็นฐานในการสร้างพอร์ตแบบ Passive Investment
Passive Investment คือ การลงทุนแบบ “ตามน้ำ” เลียนแบบการลงทุนในดัชนี เช่น ถ้าเราต้องการลงทุนในหุ้น ก็อาจซื้อกองทุนรวมดัชนี (Index Fund) ซึ่งจะลงทุนในหุ้นที่อยู่ในดัชนีนั้นๆ โดยมีสัดส่วนการลงทุนเท่ากับสัดส่วนในดัชนี
การลงทุนแบบ Passive มีข้อดีคือ ค่าธรรมเนียมต่ำ ไม่ต้องเสียเวลาเลือกหุ้นเอง และมีโอกาสได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี ซึ่งในระยะยาว มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนแบบ Active Investment (การลงทุนแบบเลือกหุ้นเอง) เสียอีก
สรุปแล้ว ดัชนีเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมือเก๋า สามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างชาญฉลาด รู้จักใช้ดัชนีให้เป็นประโยชน์ รับรองว่า การลงทุนของคุณจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนครับ