แค่เริ่มต้นลงทุน มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ โดยเฉพาะเรื่องการกระจายความเสี่ยงพอร์ตการลงทุน พูดกันตรง ๆ นะ หลายคนอาจจะติดกับดักความคิดที่ว่าจะลงทุนแค่ในตลาดหุ้นไทยพอ แต่ในความจริงแล้วการลงทุนในดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศนั้นมีประโยชน์มากกว่าที่คิด วันนี้ผมอยากเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์และความรู้ที่ได้ค้นคว้ามาเกี่ยวกับการใช้ดัชนีต่างประเทศอย่าง S&P 500, Nikkei 225 หรือ FTSE 100 เพื่อมาช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับพอร์ตของเรา จะได้ลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในผลตอบแทนกันครับ
ทำไมต้องใช้ดัชนีต่างประเทศ? ง่าย ๆ เลย ตลาดหุ้นไทยมักจะมีความผันผวนที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศเป็นหลัก การที่เราลงทุนแค่ในไทย จึงเปิดรับความเสี่ยงไปพร้อม ๆ กับตลาดในประเทศ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะดัชนียักษ์ใหญ่อย่าง S&P 500 ที่รวมบริษัทระดับโลกขนาดยักษ์ถึง 500 ตัว หรือ Nikkei 225 ในญี่ปุ่น และ FTSE 100 ของอังกฤษ ก็สะท้อนเศรษฐกิจในประเทศเหล่านั้นและเศรษฐกิจโลกโดยรวม ด้วยเหตุนี้ การลงทุนในดัชนีหุ้นต่างประเทศจึงช่วยป้องกันความเสี่ยงหากตลาดไทยตกต่ำและยังช่วยเปิดโอกาสรับผลตอบแทนที่แตกต่างจากพอร์ต
ในแง่ของความสัมพันธ์ตลาดหุ้นไทยกับตลาดโลก (Correlation) นั้น พบว่ามีค่าสัมพันธ์ไม่สูงมากนัก นั่นแปลว่าเมื่อตลาดหุ้นไทยลดลง ตลาดต่างประเทศอาจจะไม่ลดลงตาม บางครั้งอาจจะขึ้นต้านกันได้เลยด้วยซ้ำครับ นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่นักลงทุนควรมีการกระจายความเสี่ยงตลาดหุ้นหลาย ๆ แห่งไปพร้อมกัน
ทีนี้ถ้าถามว่าจะเข้าถึงตลาดหุ้นต่างประเทศยังไง? ในสมัยก่อนนี่หลาย ๆ คนก็อาจจะคิดว่ายุ่งยาก ต้องเปิดบัญชีนอกประเทศหรือซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ต่างประเทศ แต่วันนี้สะดวกขึ้นเยอะนะครับ ฝรั่งบ้านเรานิยมมากก็คือการลงทุนผ่านกองทุน ETF ที่ซื้อขายในตลาดหุ้นไทยนั่นแหละ มีหลายกองทุนที่ลงทุนในดัชนีต่างประเทศอย่าง S&P 500, Nikkei 225 หรือ FTSE 100
กองทุน ETF เหล่านี้เป็นกองทุนรวมที่เลียนแบบดัชนีตลาดหุ้นเป้าหมาย เรียกได้ว่าเหมือนเราได้ลงทุนในหุ้นใหญ่ทั่วโลกไปพร้อมกันโดยไม่ต้องเลือกหุ้นเอง ซึ่งเหมาะมากสำหรับคนที่ไม่มีเวลาวิเคราะห์หุ้นแต่ต้องการกระจายการลงทุน โอกาสดีคือเราสามารถซื้อขายกองทุนเหล่านี้ได้ง่าย ๆ ผ่านบัญชีลงทุนในไทย
ตัวอย่างกองทุน ETF ที่น่าสนใจในไทยได้แก่ กองทุนจากธนาคารกสิกรไทย เช่น กองทุน K-US500X ที่สะท้อนผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 และกองทุนอื่น ๆ ที่ครอบคลุมตลาดหุ้นในยุโรป เอเชีย และแม้แต่ตลาดจีน กองทุนเหล่านี้ช่วยให้เราไม่ต้องกังวลเรื่องการเปิดบัญชีต่างประเทศและยังช่วยลดความซับซ้อนของการลงทุนด้วย
นอกจากนี้การกระจายความเสี่ยงด้วยตลาดหุ้นต่างประเทศยังช่วยลดโอกาสที่พอร์ตของเราจะถูกผลกระทบจากเหตุการณ์เฉพาะประเทศ เช่น การเมืองที่ไม่แน่นอน หรือปัญหาเศรษฐกิจในประเทศนั้น ๆ ด้วย
แล้วเราควรเริ่มต้นยังไง? ผมแนะนำให้เริ่มจากการกำหนดสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสม โดยอาจจะเริ่มจากสัดส่วนเล็ก ๆ เช่น 10-20% ของพอร์ตรวม เพื่อทดสอบความเคยชินกับความผันผวนในตลาดต่างประเทศ จากนั้นจึงค่อย ๆ ปรับตามความเหมาะสมของโปรไฟล์ความเสี่ยงตัวเอง
สรุปแล้วนะครับ การใช้ดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศไม่ใช่แค่การหาโอกาสลงทุนเพิ่ม แต่เป็นทางเลือกที่ช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตการลงทุนเราอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าที่สุดในโลกการลงทุนปัจจุบัน อย่าลืมว่าการกระจายความเสี่ยงคือกุญแจสำคัญของความสำเร็จในการลงทุน
สุดท้ายนี้ ถ้าใครสนใจ ผมแนะนำให้ลองศึกษากองทุน ETF ในไทยที่ลงทุนในต่างประเทศต่าง ๆ ดูครับ มันเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและเข้าถึงได้จริง ๆ ทำไมจะไม่ลองใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ล่ะครับ? การลงทุนที่ชาญฉลาดต้องมองให้ไกลและกระจายความเสี่ยงอย่างรอบคอบ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องกลัวเรื่องตลาดต่างประเทศไกลตัวแล้ว ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนครับ!
คำชี้แจง
เนื้อหาบนเว็บไซต์นี้สร้างขึ้นโดย ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และได้รับการตรวจสอบความถูกต้องจากระบบ AI ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลและงานวิจัยล่าสุดแบบ Real-time อย่างไรก็ตาม เราขอแนะนำให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณส่วนบุคคลในการทำความเข้าใจข้อมูลทุกครั้ง ไม่ว่าเนื้อหานั้นจะถูกสร้างโดยมนุษย์หรือ AI ก็ตาม
ทีมงาน NowTrd.com มุ่งมั่นที่จะใช้ AI เป็นเครื่องมือเพื่อมอบข้อมูลที่มีคุณภาพและสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนแก่ผู้อ่านทุกท่านอย่างมีความรับผิดชอบต่อความถูกต้อง หากพบข้อผิดพลาดหรือจุดบกพร่องใดๆ โปรดแจ้งให้เราทราบที่ [email protected] เพื่อร่วมพัฒนาเนื้อหาให้ดียิ่งขึ้น
ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจ