สวัสดีครับเพื่อนๆ นักลงทุนทุกคน! ผมเชื่อว่าหลายๆ คนที่กำลังสนใจ หรือ กำลังเริ่มต้นเข้าสู่โลกของการลงทุนในหุ้น คงจะรู้สึกตื่นเต้นปนหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย เหมือนกับตอนผมเริ่มต้นใหม่ๆ นั่นแหละครับ สิ่งหนึ่งที่ผมพบว่าเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับมือใหม่ (รวมถึงตัวผมเองในตอนนั้น) ก็คือ “ภาษา” ครับ ใช่แล้วครับ ภาษาที่ใช้ในวงการนี้ มันช่างแตกต่างจากภาษาที่เราใช้ในชีวิตประจำวันเสียเหลือเกิน
ลองนึกภาพตามนะครับ เรากำลังอ่านบทวิเคราะห์หุ้นอยู่ดีๆ ก็เจอคำว่า “Bid”, “Offer”, “Market Order”, “Limit Order” โผล่ขึ้นมาเต็มไปหมด แล้วแบบนี้เราจะเข้าใจได้ยังไงล่ะ? ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นดีครับ เพราะผมเองก็เคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว
วันนี้ผมเลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ พร้อมทั้งไขข้อข้องใจเกี่ยวกับคำศัพท์เทคนิคต่างๆ ที่ใช้ในการเทรดหุ้น เพื่อช่วยให้เพื่อนๆ สามารถก้าวเข้าสู่โลกแห่งการลงทุนได้อย่างมั่นใจ ไม่หลงทาง และไม่ต้องเสียเวลาไปกับการงมโข่งหาความหมายของศัพท์เหล่านี้อีกต่อไป ถ้าพร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลย!
ทำความรู้จักกับคำศัพท์พื้นฐานในการเทรดหุ้น
ก่อนที่เราจะไปลงลึกในเรื่องของกลยุทธ์ หรือ เทคนิคการลงทุนต่างๆ สิ่งสำคัญที่สุดที่เราต้องทำความเข้าใจก่อนเลยก็คือ “คำศัพท์” ครับ เพราะคำศัพท์เหล่านี้เปรียบเสมือน “กุญแจ” ที่จะไขประตูสู่ความสำเร็จในการลงทุน ถ้าเราไม่เข้าใจภาษา เราก็คงไม่สามารถเข้าใจกลไกการทำงานของตลาดหุ้นได้อย่างแท้จริง
เอาล่ะครับ มาเริ่มกันที่คำศัพท์พื้นฐานที่เราควรรู้จักกันก่อนเลยดีกว่า
- Bid (ราคาเสนอซื้อ): ง่ายๆ เลยครับ Bid ก็คือ ราคาที่ “เรา” ยินดีที่จะ “ซื้อ” หุ้นตัวนั้นๆ ณ เวลานั้นๆ เช่น ถ้าเราเห็น Bid ของหุ้น A อยู่ที่ 10 บาท นั่นหมายความว่า มีคนพร้อมที่จะซื้อหุ้น A ในราคา 10 บาท ณ ขณะนั้น
- Ask/Offer (ราคาเสนอขาย): ตรงข้ามกับ Bid ครับ Ask หรือ Offer ก็คือ ราคาที่ “เจ้าของหุ้น” ยินดีที่จะ “ขาย” หุ้นตัวนั้นๆ ให้กับเรา เช่น ถ้าเราเห็น Ask ของหุ้น A อยู่ที่ 10.50 บาท นั่นหมายความว่า มีคนพร้อมที่จะขายหุ้น A ให้เราในราคา 10.50 บาท ณ ขณะนั้น
- Spread (ส่วนต่างราคา): Spread คือ ส่วนต่างระหว่างราคา Bid และ Ask ซึ่งเป็นค่าตอบแทนของ Market Maker หรือ ผู้ดูแลสภาพคล่อง ยกตัวอย่างเช่น ถ้า Bid ของหุ้น A อยู่ที่ 10 บาท และ Ask อยู่ที่ 10.50 บาท Spread ก็คือ 0.50 บาท
- Market Order (คำสั่งซื้อขายที่ราคาตลาด): เป็นคำสั่งซื้อขายที่เราต้องการให้ ” khớp ” ทันที ณ ราคาตลาดปัจจุบัน โดยที่เราไม่ได้ระบุราคาไว้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว คำสั่ง Market Order มักจะ ” khớp ” ที่ราคา Ask (ถ้าเป็นคำสั่งซื้อ) หรือ Bid (ถ้าเป็นคำสั่งขาย)
- Limit Order (คำสั่งซื้อขายที่ราคาจำกัด): เป็นคำสั่งซื้อขายที่เรา “ระบุราคา” ไว้ โดยคำสั่งจะ ” khớp ” ก็ต่อเมื่อมีคนเสนอซื้อหรือขายในราคาที่เราต้องการเท่านั้น เช่น ถ้าเราต้องการซื้อหุ้น A ที่ราคา 10 บาท และส่งคำสั่ง Limit Order ไป คำสั่งนี้จะ ” khớp ” ก็ต่อเมื่อมีคนเสนอขายหุ้น A ที่ราคา 10 บาท เท่านั้น
- Volume (ปริมาณการซื้อขาย): หมายถึง จำนวนหุ้นที่ถูกซื้อขายในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึง “สภาพคล่อง” ของหุ้นตัวนั้นๆ ถ้าหุ้นตัวไหนมี Volume สูง ก็แสดงว่ามีคนสนใจซื้อขายหุ้นตัวนั้นเยอะ ทำให้เราสามารถซื้อขายได้ง่าย ไม่ติดขัด
- Market Cap (มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด): เป็นมูลค่ารวมของหุ้นทั้งหมดของบริษัท คำนวณได้จาก ราคาหุ้น x จำนวนหุ้นทั้งหมด ซึ่ง Market Cap มักถูกใช้เป็นเกณฑ์ในการแบ่งขนาดของบริษัท เช่น บริษัทขนาดใหญ่ (Large Cap), บริษัทขนาดกลาง (Mid Cap), และ บริษัทขนาดเล็ก (Small Cap)
เจาะลึกคำศัพท์เทคนิค สำหรับนักลงทุนขั้นสูง
หลังจากที่เราคุ้นเคยกับคำศัพท์พื้นฐานกันไปบ้างแล้ว คราวนี้เรามาต่อกันที่คำศัพท์เทคนิค ที่มักจะปรากฏในบทวิเคราะห์ หรือ ข่าวสารเกี่ยวกับหุ้นกันบ้าง ซึ่งคำศัพท์เหล่านี้อาจจะดูซับซ้อน แต่ถ้าเราเข้าใจความหมายของมัน ก็จะช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์ และ ตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- P/E Ratio (อัตราส่วนราคาต่อกำไร): เป็นอัตราส่วนที่ใช้ประเมินมูลค่าของหุ้น โดยคำนวณจาก ราคาหุ้น / กำไรสุทธิต่อหุ้น P/E Ratio จะบอกเราว่า เราต้องจ่ายเงินกี่บาท เพื่อที่จะได้กำไร 1 บาทจากหุ้นตัวนั้น
- Dividend Yield (อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล): เป็นอัตราส่วนที่แสดงถึงผลตอบแทนจากเงินปันผล คำนวณจาก เงินปันผลต่อหุ้น / ราคาหุ้น ซึ่ง Dividend Yield จะช่วยให้เราเปรียบเทียบผลตอบแทนจากเงินปันผลของหุ้นแต่ละตัวได้
- ROE (Return on Equity): เป็นอัตราส่วนที่วัดประสิทธิภาพในการทำกำไรของบริษัท โดยคำนวณจาก กำไรสุทธิ / ส่วนของผู้ถือหุ้น ROE จะบอกเราว่า บริษัทสามารถนำเงินลงทุนของผู้ถือหุ้นไปสร้างผลกำไรได้มากน้อยแค่ไหน
- EPS (Earnings per Share): หมายถึง กำไรสุทธิต่อหุ้น คำนวณจาก กำไรสุทธิ / จำนวนหุ้นทั้งหมด EPS เป็นตัวบ่งชี้ถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัท
- BVPS (Book Value per Share): หมายถึง มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น คำนวณจาก ส่วนของผู้ถือหุ้น / จำนวนหุ้นทั้งหมด BVPS แสดงให้เห็นถึงมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง
- Moving Average (ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่): เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มของราคาหุ้น โดยคำนวณจากค่าเฉลี่ยของราคาหุ้นในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่ง Moving Average จะช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของแนวโน้มราคา และ จุดกลับตัวของราคาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
- RSI (Relative Strength Index): เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้วัด “โมเมนตัม” ของราคาหุ้น โดย RSI จะมีค่าอยู่ระหว่าง 0 – 100 ซึ่งค่าที่สูงกว่า 70 บ่งชี้ว่าหุ้นอยู่ในภาวะ ” Overbought ” (ซื้อมากเกินไป) ส่วนค่าที่ต่ำกว่า 30 บ่งชี้ว่าหุ้นอยู่ในภาวะ ” Oversold ” (ขายมากเกินไป)
- MACD (Moving Average Convergence Divergence): เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์โมเมนตัม และ แนวโน้มของราคาหุ้น โดย MACD จะเกิดจากการนำค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 2 เส้น มาลบกัน ซึ่งจะช่วยให้เรามองเห็นสัญญาณซื้อ หรือ ขาย ได้อย่างชัดเจน
เทรดหุ้นอย่างมั่นใจ ด้วยความเข้าใจใน “ภาษา” ของตลาด
เป็นยังไงกันบ้างครับ พอจะเข้าใจคำศัพท์ที่ใช้ในการเทรดหุ้นกันมากขึ้นบ้างหรือยัง? ผมหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ และ ช่วยให้เพื่อนๆ สามารถก้าวเข้าสู่โลกแห่งการลงทุนได้อย่างมั่นใจมากขึ้นนะครับ
อย่าลืมนะครับ การลงทุนมีความเสี่ยง เราควรศึกษาหาความรู้ และ ทำความเข้าใจใน “ภาษา” ของตลาด ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน เพื่อลดความเสี่ยง และ เพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี
สุดท้ายนี้ ขอให้เพื่อนๆ ทุกคนโชคดีในการลงทุนนะครับ!