– ปีเตอร์ เฮเบิลธเวท ซีอีโอของ P&O Ferries ประกาศลาออกเพื่อเน้นเวลาให้กับครอบครัว หลังจากถูกวิจารณ์อย่างหนักจากการปลดพนักงานจำนวนมากในปี 2022
– การปลดพนักงานโดยไม่ปรึกษาสหภาพแรงงานทำให้เกิดความขัดแย้งและคำว่า “ละเมิดกฎหมายแรงงานของสหราชอาณาจักร” แต่บริษัทไม่ได้ถูกดำเนินคดีทางอาญา
– เหตุการณ์นี้ได้กระตุ้นให้รัฐบาลสหราชอาณาจักรร่างกฎหมายการจ้างงานใหม่เพื่อปกป้องสิทธิของลูกเรือและห้ามการจ้างงานแบบ Fire and Rehire
ปีเตอร์ เฮเบิลธเวท อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของ P&O Ferries บริษัทเรือขนส่งผู้โดยสารที่โด่งดังในสหราชอาณาจักร ประกาศลาออกจากตำแหน่ง หลังจากเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากการปลดพนักงานมากถึง 800 คนในเดือนมีนาคม 2022 และแทนที่ด้วยคนงานรับจ้างที่มีค่าแรงต่ำกว่า การปลดพนักงานครั้งนี้ก่อให้เกิดความไม่พอใจอย่างกว้างขวางและมีการชุมนุมประท้วงในหลายเมืองเช่นโดเวอร์, ลิเวอร์พูล และฮัลล์
เฮเบิลธเวทยอมรับต่อคณะกรรมาธิการรัฐสภาว่าการปลดพนักงานครั้งนี้เป็นการละเมิดกฎหมายแรงงานของสหราชอาณาจักรเพราะไม่ได้ปรึกษาสหภาพแรงงานก่อน แต่เขาก็โต้แย้งว่าวิธีนี้ไม่ผิดกฎหมายในประเด็นอื่นๆ และกล่าวว่าสหภาพแรงงานไม่ยอมรับแผนดังกล่าว จึงเลือกจ่ายค่าชดเชยเต็มจำนวนแทน
P&O Ferries ระบุว่า เฮเบิลธเวทจะออกจากตำแหน่งเพื่อให้เวลามากขึ้นกับเรื่องครอบครัว โดยในช่วงที่ดำรงตำแหน่งนั้น เขาได้เผชิญกับความท้าทายในสถานการณ์โควิด-19 และได้เริ่มการเดินหน้าทางการเงินพร้อมกับนำเรือเฟอร์รี่ไฮบริดสองหัวที่เป็นนวัตกรรมมาใช้ในเส้นทางโดเวอร์-คาเลส์
แม้ว่าจะไม่มีการดำเนินคดีทางอาญาต่อบริษัทระหว่างเหตุการณ์นี้ แต่การสืบสวนในเชิงแพ่งยังคงดำเนินอยู่ และรัฐบาลได้เตรียมร่างกฎหมาย Employment Rights Bill เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันนี้อีกในอนาคต โดยมีการปกป้องสิทธิแรงงานบนเรืออย่างเหมาะสม
สำหรับคนไทยที่สนใจ เฮเบิลธเวทเคยเป็นผู้บริหารใหญ่ในบริษัทชื่อดังหลายแห่งก่อนรวมถึง J Sainsbury และมีบทบาทสำคัญในการจัดการแรงงานที่มีความซับซ้อนซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนไปยังตลาดแรงงานและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงเส้นทางเดินเรือที่ส่งผลต่อการขนส่งสินค้าระหว่างสหราชอาณาจักรและยุโรป ซึ่งเป็นสิ่งที่นักธุรกิจไทยที่มีความเชื่อมโยงกับยุโรปควรติดตามอย่างใกล้ชิด
การลาออกของซีอีโอดังกล่าวถือเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงในวงการเรือสำราญในสหราชอาณาจักรและอาจจะมีผลต่อแนวทางการบริหารแรงงานและนโยบายด้านสิทธิผู้ใช้แรงงานในอนาคต