Wednesday, December 10, 2025
25.5 C
Bangkok

PMI/ISM อ่านอย่างไร คู่มืออ่านดัชนีผู้จัดการจัดซื้อสำหรับเทรดเดอร์

ตอนเริ่มสนใจเศรษฐกิจจริงจัง ผมเจอคำว่า PMI กับ ISM เต็มไปหมดในปฏิทินเศรษฐกิจ
ทุกเดือนพอถึงวันประกาศ ตัวเลขนี้ออกทีไร ตลาด Forex ขยับ แถมทองยังเหวี่ยงแรงอีกต่างหาก

คำถามในหัวตอนนั้นง่ายมาก

“ตัวเลขที่มาจากแบบสอบถามไม่กี่ข้อ เนี่ยนะ จะเขย่าตลาดทั้งโลกได้?”

พอค่อยๆ ศึกษา ผมถึงเข้าใจว่า
PMI/ISM ไม่ได้เป็นแค่ตัวเลขสวยๆ บนกราฟ แต่คือ “เสียงจากหน้าโรงงานและออฟฟิศจริงๆ”
มันคือข้อมูลจากผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อที่กำลังสัมผัสยอดสั่งซื้อ สต็อกของ และคิวงานทุกวัน

บทความนี้เลยอยากพาไล่ทีละขั้นว่า

  • PMI คืออะไร
  • ISM คือใคร
  • ต่างกันยังไงกับ PMI เจ้าอื่น
  • และที่สำคัญที่สุด อ่าน PMI/ISM ยังไงให้แปลเป็นภาพเศรษฐกิจ และต่อยอดสู่แผนเทรดได้จริง

ผมจะเล่าแบบภาษาคนเทรด ไม่ใช่ภาษาหนังสือเรียน

PMI คืออะไร ถ้าเล่าแบบไม่วิชาการเกินไป

PMI – Purchasing Managers’ Index หรือ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ
คือดัชนีเศรษฐกิจที่ได้จาก “การสำรวจ” บริษัทเอกชนในภาคการผลิตและบริการทุกเดือน

ผู้ที่ถูกถามส่วนใหญ่คือ

  • ผู้จัดการจัดซื้อ
  • ผู้บริหารสายปฏิบัติการ
  • คนที่รู้ว่าตอนนี้มีออเดอร์เข้า–ออกแค่ไหน

คำถามจะคล้ายๆ กัน เช่น

  • ยอดสั่งซื้อใหม่เพิ่มขึ้นเทียบเดือนที่แล้วไหม
  • การผลิตมากขึ้นหรือน้อยลง
  • การจ้างงานเป็นยังไง
  • สต็อกเพิ่มหรือลด
  • ซัพพลายเออร์ส่งของเร็วขึ้นหรือช้าลง

สิ่งสำคัญคือ ไม่ได้ถามตัวเลขยอดขายจริง
แต่ถามเป็นรูปแบบง่ายๆ ว่า “ดีขึ้น / เท่าเดิม / แย่ลง” เทียบกับเดือนก่อน 

จากนั้นจึงนำคำตอบมาคำนวณเป็นดัชนีค่าเดียว ระหว่าง 0–100

  • มากกว่า 50 = ภาพรวม “ดีขึ้น”
  • น้อยกว่า 50 = ภาพรวม “แย่ลง”
  • 50 ตรงๆ = โดยรวม “ไม่เปลี่ยน”

เลยมีคนชอบเรียก PMI ว่า “เช็กร่างกายรายเดือนของเศรษฐกิจ”
ไม่ต้องรอตัวเลข GDP ที่ออกช้าหลายเดือน

ISM คือใคร แล้ว ISM PMI ต่างจาก PMI เจ้าอื่นยังไง

ISM – Institute for Supply Management เป็นสมาคมด้านจัดซื้อและซัพพลายเชนในสหรัฐ ก่อตั้งตั้งแต่ปี 1915 และเริ่มทำแบบสำรวจ PMI มาตั้งแต่ทศวรรษ 1930 ถือเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่เก่าแก่และมีคนตามที่สุดของสหรัฐ I

ทุกเดือน ISM จะออก

  • ISM Manufacturing PMI – ภาคการผลิต
  • ISM Services PMI (หรือเดิมชื่อ Non-Manufacturing) – ภาคบริการ

ขณะเดียวกันทั่วโลกก็มีเจ้าอื่นทำ PMI ด้วย เช่น JP Mogan

ดังนั้นเวลาเราเห็นคำว่า PMI เฉยๆ ให้เช็กเสมอว่า

  • มาจาก ISM หรือ
  • มาจาก S&P Global / Markit หรือเจ้าอื่น

เพราะแต่ละสำนักใช้วิธีสำรวจและกลุ่มตัวอย่างแตกต่างกันนิดหน่อย ทำให้ตัวเลขไม่จำเป็นต้องเท่ากันเป๊ะๆ ในเดือนเดียวกัน

กลไก “ดัชนีแพร่กระจาย”  ทำไม 50 จึงคือเส้นกึ่งกลาง

ทั้ง PMI ของ ISM และของ S&P Global ใช้สิ่งที่เรียกว่า Diffusion Index

คอนเซ็ปต์ง่ายมาก

  1. สมมติถามคำถามว่า “ยอดสั่งซื้อใหม่เป็นอย่างไรเมื่อเทียบเดือนก่อน?”
    ถ้าตอบว่า “เพิ่มขึ้น” = นับเป็น P₁
    “เท่าเดิม” = P₂
    “ลดลง” = P₃

  2. ถ้าตอบว่า “เพิ่มขึ้น” = นับเป็น P₁
  3. “เท่าเดิม” = P₂
  4. “ลดลง” = P₃
  5. เอาสัดส่วนร้อยละของแต่ละคำตอบไปคำนวณตามสูตรมาตรฐาน
    PMI=(P1−P3)/2+50PMI = (P_1 – P_3)/2 + 50PMI=(P1​−P3​)/2+50
  6. ถ้า ทุกคนตอบดีขึ้น → ค่า PMI = 100
    ถ้า ทุกคนตอบแย่ลง → ค่า PMI = 0
    ถ้า ทุกคนบอกว่าเหมือนเดิม → PMI = 50 พอดี

เลยได้กติกาที่จำง่ายมากว่า

  • เหนือ 50 = ธุรกิจส่วนใหญ่รายงานว่าดีขึ้น
  • ต่ำกว่า 50 = ส่วนใหญ่แย่ลง
  • ยิ่งห่างจาก 50 เยอะเท่าไหร่ การเปลี่ยนแปลงยิ่งแรงเท่านั้น

ข้างใน ISM Manufacturing PMI มีอะไรบ้าง

เวลาเปิดข่าว เรามักเห็นแค่เลขเดียว เช่น

“ISM Manufacturing PMI อยู่ที่ 48.7 จุด ต่ำกว่า 50 ต่อเนื่อง บ่งชี้ว่าภาคการผลิตยังหดตัว”

แต่จริงๆ แล้วตัวเลขนี้เป็น ดัชนีรวม (Composite) ที่มาจาก 5 ส่วนหลักๆ ของแบบสอบถาม คือ

  1. New Orders – คำสั่งซื้อใหม่ (น้ำหนักราว 30%)
  2. Production – การผลิต (25%)
  3. Employment – การจ้างงาน (20%)
  4. Supplier Deliveries – ความเร็วการส่งมอบของซัพพลายเออร์ (15%)
  5. Inventories – สินค้าคงคลัง (10%)

แต่ละส่วนเป็นดัชนีแบบ diffusion ของตัวเอง ก่อนนำมารวมเป็นค่า PMI อีกที

สำหรับเทรดเดอร์ จุดนี้สำคัญมาก เพราะบางครั้ง

  • ตัวเลข Headline ดูกลางๆ
  • แต่ “New Orders” ดิ่งลงแรง
  • หรือ “Prices / Supplier Deliveries” สูงผิดปกติ

สิ่งเหล่านี้บอกเล่าเรื่องราวในเชิงลึกกว่าตัวเลขหน้าปก

ค่า 50, 55, 45, 60 แปลว่าอะไรในทางปฏิบัติ

ผมชอบมอง PMI เหมือน “เส้นแบ่งเขตอากาศเศรษฐกิจ”

เหนือ 50 เล็กน้อย: เศรษฐกิจกำลังขยาย แต่ไม่แรง

ตัวอย่างเช่น PMI ภาคบริการจีนเดือนตุลาคม 2025 ที่ 52.6
แปลว่ากิจกรรมบริการยังขยายตัว แต่ช้าลงจากเดือนก่อนที่ 52.9

ระดับประมาณ 51–53
คือโหมดเศรษฐกิจ “ฟื้นตัวช้าๆ” ยังไม่ได้ร้อนแรง

เกิน 55: เริ่มร้อน

เมื่อดัชนีขึ้นไปแถว 55–60 ติดต่อกันหลายเดือน

  • นักวิเคราะห์มักมองว่าเศรษฐกิจ “กำลังวิ่งแรง”
  • ธนาคารกลางอาจเริ่มคิดเรื่องขึ้นดอกเบี้ย หรือถอนมาตรการผ่อนคลาย

เคสเช่นหลายประเทศที่ PMI ภาคบริการหรือการผลิตขึ้นทำจุดสูงสุดหลายปีในช่วงเศรษฐกิจฟื้นหลังโควิด

ต่ำกว่า 50: เข้าโหมดหดตัว

อย่างข่าว ISM Manufacturing PMI สหรัฐเดือนตุลาคม 2025 ที่ลงไปแถว 48.7
และอยู่ต่ำกว่า 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8
ชี้ว่าภาคการผลิตของสหรัฐหดตัวต่อเนื่อง

ถ้าตัวเลขลงแถว 47–48 หลายเดือนติด แปลว่าเริ่มไม่ใช่แค่ “ชะลอ” แต่เป็นการหดตัวที่ควรจับตาจริงจัง

กลับตัวรอบ 50: เส้นแบ่งจิตวิทยาตลาด

เวลา PMI ข้าม 50 จากล่างขึ้นบน หรือบนลงล่าง
ตลาดมักตอบสนองแรงเป็นพิเศษ เพราะเหมือนเศรษฐกิจเปลี่ยนโหมด

  • ขึ้นจาก 49 → 51 = จากหดตัวเป็นขยาย
  • ลงจาก 52 → 49 = จากขยายเป็นหดตัว

ISM vs S&P Global PMI ต่างกันยังไง ต้องดูตัวไหน

ในสหรัฐมีทั้ง

  • ISM PMI
  • S&P Global (เดิม IHS Markit) PMI

ทั้งสองเจ้าถูกใช้เป็นตัวชี้วัดสภาวะธุรกิจเหมือนกัน แต่มีจุดต่างสำคัญ

  1. กลุ่มตัวอย่าง
    ISM เน้นสมาชิกในสมาคมจัดซื้อของสหรัฐ
    S&P Global เลือกบริษัทให้สะท้อนโครงสร้างเศรษฐกิจจากข้อมูลมูลค่าเพิ่ม

  2. ISM เน้นสมาชิกในสมาคมจัดซื้อของสหรัฐ
  3. S&P Global เลือกบริษัทให้สะท้อนโครงสร้างเศรษฐกิจจากข้อมูลมูลค่าเพิ่ม
  4. วิธีคำนวณย่อย
    ทั้งคู่ใช้ diffusion index แต่รายละเอียดน้ำหนัก และคำนิยามบางหมวดต่างกัน

  5. ทั้งคู่ใช้ diffusion index แต่รายละเอียดน้ำหนัก และคำนิยามบางหมวดต่างกัน
  6. ความครอบคลุมประเทศ
    ISM เน้นสหรัฐ
    S&P Global ทำ PMI ให้หลายประเทศ รวมถึง Global PMI

  7. ISM เน้นสหรัฐ
  8. S&P Global ทำ PMI ให้หลายประเทศ รวมถึง Global PMI

ผลคือเลขโดยรวมอาจขึ้นลงในทิศทางคล้ายกัน แต่ระดับตัวเลขอาจต่างกันเล็กน้อย เช่น ISM Manufacturing อยู่ต่ำกว่า 50 เล็กน้อย ขณะที่ S&P Global US Manufacturing PMI อาจอยู่แถว 50+ เล็กน้อยในบางเดือน 

สำหรับผม:

  • ถ้าดู “เฉพาะสหรัฐ” และเทียบกับประวัติศาสตร์ยาวๆ = ISM สำคัญมาก
  • ถ้าดูหลายประเทศพร้อมกัน = S&P Global PMI ช่วยให้เปรียบเทียบข้ามประเทศง่ายกว่า

ทำไม PMI/ISM จึงเป็นเครื่องมืออ่านเศรษฐกิจที่ตลาดให้ความสำคัญ

เหตุผลหลักมีสามข้อ

1. รายเดือน และออกเร็ว

PMI ออกต้นเดือน และสะท้อนข้อมูลของเดือนที่เพิ่งจบไปไม่นาน
เร็วกว่าตัวเลข GDP ที่มาทีหลังเป็นไตรมาส 

เลยกลายเป็น ข้อมูลนำทาง (Leading Indicator) ที่นักวิเคราะห์ใช้เดาว่า

  • เศรษฐกิจไตรมาสนี้โตแค่ไหน
  • ดอกเบี้ยควรอยู่ระดับไหน

2. มาจากคนที่ “จับชีพจรธุรกิจจริง”

ผู้จัดการจัดซื้อจะเห็นคำสั่งซื้อ สต็อก และปัญหาในห่วงโซ่อุปทานก่อนฝั่งนักบัญชีเห็นตัวเลขงบการเงินเสียอีก 

เวลาเขาบอกว่า

  • ออเดอร์ใหม่เริ่มชะลอ
  • ซัพพลายเออร์ส่งของช้าขึ้น
  • ต้องลดคนหรือลด OT

นั่นคือสัญญาณล่วงหน้าของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ

3. มีสถิติสัมพันธ์กับ GDP และการจ้างงาน

งานวิจัยและบทวิเคราะห์หลายแห่งพบว่า

  • PMI ภาคการผลิตและบริการมีความสัมพันธ์กับการเติบโตของ GDP และการจ้างงานพอสมควร
  • ดัชนีต่ำกว่า 50 เป็นระยะ มักพ้องกับช่วงเศรษฐกิจอ่อนแรง

จึงมีหลายสำนักใช้ PMI เป็น “แบบจำลองลัด” เพื่อคาดการณ์ GDP รายไตรมาส 

อ่าน PMI/ISM อย่างไรทีละขั้นสำหรับเทรดเดอร์

เวลาจะอ่าน PMI ผมใช้ขั้นตอนง่ายๆ 6 ข้อ

ขั้นที่ 1: เช็กว่าพูดถึงตัวไหน

  • ISM Manufacturing หรือ Services
  • PMI ของประเทศไหน
  • เป็นของ ISM หรือ S&P Global

เพราะผลกระทบต่อสินทรัพย์ที่เราเทรดจะต่างกัน เช่น

  • เทรดทอง–Forex → เน้น PMI สหรัฐ จีน ยุโรป
  • เทรดหุ้นไทย → PMI จีน/สหรัฐ มีผลทางอ้อมต่อการส่งออก

ขั้นที่ 2: เทียบกับระดับ 50

ถามตัวเองว่า

  • อยู่เหนือหรือต่ำกว่า 50
  • อยู่ตรงนี้ต่อเนื่องมากี่เดือนแล้ว

ถ้าเพิ่งหลุด 50 ลงมาเดือนแรก ตลาดมักผันผวนแรง เพราะเป็นสัญญาณว่า “โหมดเศรษฐกิจเปลี่ยนแล้ว”

ขั้นที่ 3: เทียบกับเดือนก่อน

ดู “ทิศทาง” สำคัญกว่าเลขเดียวโดดๆ

  • จาก 55 → 52 ยังขยายตัว แต่ความร้อนแรงลดลง
  • จาก 47 → 49 ยังหดตัว แต่เริ่มหดตัวน้อยลง

สำหรับตลาดการเงิน ความเปลี่ยนแปลงนี้แหละที่ตลาดเทรดกัน

ขั้นที่ 4: เทียบกับคาดการณ์ตลาด

ปฏิทินเศรษฐกิจอย่าง Investing.com หรือ TradingEconomics.com จะมีทั้งตัวเลขที่ออกจริง กับตัวเลขคาดการณ์ (Consensus

  • ถ้าออกมาดีกว่าคาดเยอะ → เซอร์ไพรส์เชิงบวก
  • แย่กว่าคาดเยอะ → เซอร์ไพรส์เชิงลบ

เช่น ถ้าตลาดคาด ISM Manufacturing 50.5 แต่ตัวเลขจริงออกมา 47
บ่อยครั้ง USD จะถูกกดดัน เพราะตลาดต้องปรับมุมมองต่อเศรษฐกิจและดอกเบี้ยใหม่

ขั้นที่ 5: แอบดู Sub-index

อย่าดูแต่ Headline อย่างเดียว

  • New Orders บอกอนาคตใกล้ของการผลิต
  • Employment บอกการจ้างงานในภาคธุรกิจ
  • Prices / Input Costs บอกแรงกดดันเงินเฟ้อ
  • Supplier Deliveries บอกว่าห่วงโซ่อุปทานตึงตัวแค่ไหน

บางที Headline ไม่เปลี่ยนมาก แต่ Sub-index กลับบอกเรื่องที่ตลาดต้องกังวล เช่น

  • คำสั่งซื้อใหม่ร่วง
  • ราคาวัตถุดิบพุ่ง
  • การจ้างงานหดตัวต่อเนื่อง

ขั้นที่ 6: เอาไปผูกกับภาพใหญ่และสินทรัพย์ที่เทรด

ตัวอย่างการแปลเป็นแผนเทรด

  • PMI สหรัฐหดตัวต่อเนื่อง ต่ำกว่า 50 หลายเดือน
    → ตลาดเริ่มคาดว่าจะลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น
    → ดอลลาร์มีโอกาสอ่อนค่า ทองและสินทรัพย์เสี่ยงอาจได้แรงหนุน
  • PMI จีนอ่อนแรง
    → ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์โลกลดลง
    → มีผลต่อหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ค่าเงินประเทศส่งออก และตลาดเกิดใหม่

เคสตัวอย่าง: วันประกาศ PMI แล้วกราฟเหวี่ยง

ลองสมมติสถานการณ์หนึ่งให้เห็นภาพ

  • ตลาดคาด ISM Manufacturing สหรัฐ = 50.0
  • ตัวเลขเดือนก่อน = 49.5
  • นักลงทุนหวังว่ารอบนี้จะกลับขึ้นโซนขยายตัว

แต่พอตัวเลขออกจริง

  • ISM Manufacturing = 47.8 (ต่ำกว่าคาดมาก)
  • New Orders ต่ำกว่า 45
  • Employment ยังอยู่ในโซนหดตัว

สิ่งที่ผมคาดว่าอาจเกิดขึ้นได้ในระยะสั้น

  1. USD อ่อนค่า
    เพราะตลาดตีความว่าเศรษฐกิจเริ่มแย่กว่าที่คิด โอกาสขึ้นดอกเบี้ยลดลง หรืออาจต้องลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น
  2. ทองและเงินเยนแข็งขึ้น
    นักลงทุนเริ่มหาสินทรัพย์ปลอดภัยแทน
  3. หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมกดดัน
    เพราะ ISM Manufacturing สะท้อนภาคโรงงานโดยตรง

แน่นอนว่าตลาดจริงมีปัจจัยอื่นร่วมด้วยเสมอ
แต่การเข้าใจโครงสร้าง PMI ทำให้เราอ่านข่าวแบบมีกรอบคิด ไม่ใช่แค่ “ตัวเลขต่ำกว่า 50 แล้วไงต่อ”

ข้อจำกัดและกับดักของการใช้ PMI/ISM

ไม่มีดัชนีไหนวิเศษจนใช้เดี่ยวๆ ได้ตลอด

1. สำรวจจากความรู้สึก ณ ตอนนั้น

ถึงจะเน้นคำถามข้อเท็จจริง แต่ก็ยังขึ้นกับความรับรู้ของผู้ตอบแบบสอบถามในช่วงเวลานั้น
ในภาวะที่ข่าวร้ายเยอะ คนมักมองโลกแย่กว่าความจริง และสะท้อนออกมาใน PMI ด้วย

2. เน้นภาคการผลิตมากกว่าบริการในบางประเทศ

เดิมที PMI ของหลายประเทศเริ่มจากภาคการผลิตก่อน ทั้งที่เศรษฐกิจยุคใหม่พึ่งบริการมากขึ้น
ดังนั้นถ้าดูแค่ Manufacturing PMI อาจไม่ครบภาพ

โชคดีที่ตอนนี้ส่วนใหญ่มี Services PMI เพิ่มแล้ว เช่นของ ISM และ S&P Global

3. เป็นเพียง “การเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อน”

ค่าที่ประมาณ 50 ไม่ได้แปลว่าเศรษฐกิจดีหรือแย่
แค่บอกว่า “ไม่เปลี่ยนจากเดือนก่อน” เท่านั้น

เศรษฐกิจอาจอยู่ในระดับแย่ แต่ไม่แย่ลง → PMI ใกล้ 50 ได้เหมือนกัน

4. ตลาดบางครั้ง “รู้ล่วงหน้า” แล้ว

โดยเฉพาะในยุคข้อมูลเยอะ ข้อมูลย่อยจากภาคธุรกิจหรือการคาดการณ์ของสำนักวิจัย อาจทำให้ตลาดปรับตัวล่วงหน้าก่อนตัวเลขจริงออก

ผลคือ วันประกาศจริง ตัวเลขอาจไม่ทำให้กราฟเหวี่ยงอย่างที่คิด เพราะตลาด “รับข่าวไปแล้ว”

เอา PMI/ISM ไปใส่ใน Workflow การเทรดยังไงดี

สำหรับผม ตัวเลขพวกนี้อยู่ใน Macro Dashboard ส่วนตัวเสมอ

ทุกเดือนก่อนมีการประชุมธนาคารกลางใหญ่ๆ ผมจะดูชุดข้อมูลประมาณนี้

  • PMI / ISM ของสหรัฐ ยุโรป จีน
  • ตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI / PCE)
  • ตัวเลขแรงงาน (NFP)
  • Bond Yield โดยเฉพาะ US 10Y
  • Dollar Index (DXY)

จากนั้นตั้งคำถามง่ายๆ ว่า

  • ภาพเศรษฐกิจตอนนี้ “ร้อนเกินไป / กำลังดี / เริ่มเย็น”
  • ธนาคารกลางมีเหตุผลจะขึ้น–คง–ลดดอกเบี้ยไหม
  • เม็ดเงินมีแนวโน้มไหลไปสินทรัพย์เสี่ยงหรือสินทรัพย์ปลอดภัย

การมี PMI/ISM อยู่ในชุดข้อมูลนี้ ทำให้ภาพประกอบสมบูรณ์ขึ้นมาก
เพราะมันเล่า “เสียงจากบริษัทจริง” ไม่ใช่แค่ตัวเลขโต–หดที่ออกช้าหลายเดือน

มอง PMI/ISM แบบคนอ่านเกมมหภาค

ถ้าจะเก็บใจความจากทั้งบทความนี้ไว้ไม่กี่ข้อ ผมอยากให้จำว่า

  1. PMI คือดัชนีจากแบบสอบถามผู้จัดการจัดซื้อ วัดการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจแบบรายเดือน
  2. ISM PMI และ S&P Global PMI คือสองเจ้าใหญ่ ที่ตลาดทั่วโลกใช้ติดตาม
  3. ค่า 50 เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างขยายกับหดตัว แต่ทิศทางการเปลี่ยนเทียบเดือนก่อน และเทียบคาดการณ์ตลาดสำคัญกว่าเลขเป๊ะๆ
  4. การอ่าน Sub-index อย่าง New Orders, Employment, Prices ช่วยให้เข้าใจความลึกของเศรษฐกิจมากขึ้น
  5. สำหรับเทรดเดอร์ CFD / Forex / ทองคำ
    PMI/ISM คือสัญญาณสำคัญต่อมุมมองดอกเบี้ย ค่าเงิน และความเสี่ยงในระบบ
    ใช้คู่กับดัชนีอื่นอย่าง DXY, Bond Yield, CPI จะยิ่งเห็นภาพใหญ่ชัด

  6. PMI/ISM คือสัญญาณสำคัญต่อมุมมองดอกเบี้ย ค่าเงิน และความเสี่ยงในระบบ
  7. ใช้คู่กับดัชนีอื่นอย่าง DXY, Bond Yield, CPI จะยิ่งเห็นภาพใหญ่ชัด

สุดท้าย PMI/ISM ไม่ได้ทำให้ใคร “ฟันกำไรแน่นอน”
แต่ช่วยให้เราไม่ต้องเทรดแบบเดาสุ่ม
ให้เรามองตลาดผ่านสายตาของคนที่อยู่หน้าโรงงานและหน้าออฟฟิศจริงๆ ทุกเดือน

ใครที่อยากจริงจังกับการอ่านเกมมหภาค
การเข้าใจว่า PMI/ISM อ่านอย่างไร
คือหนึ่งในเครื่องมือพื้นฐานที่ผมเชื่อว่าควรมีติดตัวทุกคน

Hot this week

ลูปจัดการอารมณ์ที่กั้นระหว่างเทรดเดอร์รอดกับพอร์ตพัง

ส่วนใหญ่พอร์ตไม่ได้พังเพราะกราฟ แต่พังเพราะเทรดเดอร์ไม่เคยรู้เลยว่า ช่วงไหน “ระบบคุมมือ” ช่วงไหน “อารมณ์คุมมือ”ไม้ที่เข้าเพราะ FOMO ดูเผิน ๆ ก็เหมือนไม้ปกติ แค่เห็นกราฟวิ่ง เห็นคนอื่นโชว์กำไร ก็รีบกดโดยไม่ทันเช็ก RR...

หลายครั้งไม่ได้แพ้ที่ “ทิศทางราคา” แต่แพ้ที่ “เหตุผลในการเข้าไม้”

ฝั่งหนึ่งเข้าเพราะกลัวตกรถ ราคาไปทางไหนก็วิ่งตาม อีกฝั่งหนึ่งเข้าเพราะรู้ชัดว่า ตรงนี้คือโซนได้เปรียบของตัวเอง Risk/Reward คุ้ม และยอมรับผลลัพธ์ได้ถ้าเราเคยไล่ซื้อทุกแท่งเขียว เคยเห็นคนอื่นกำไรแล้วทนไม่ได้ เคยเข้าตามฟีลโดยไม่รู้จุดตัดขาดทุน แปลว่าเรากำลังเล่นเกมแบบ “แมงเม่า / นักพนัน” อยู่เงียบ ๆแต่...

ทำไม CPI ถึง “สำคัญมาก” ทั้งสำหรับคนทั่วไปและคนเทรด

CPI หรือดัชนีราคาผู้บริโภค ไม่ใช่แค่ตัวเลขในข่าวเศรษฐกิจ แต่มันคือกระจกที่สะท้อนว่าค่าครองชีพกำลังกัดกินเงินในกระเป๋าเราเร็วแค่ไหน บทความนี้ชวนคุณมาทำความเข้าใจ CPI ตั้งแต่พื้นฐาน วิธีคิด ไปจนถึงการเอาไปใช้วางแผนการเงิน การทำธุรกิจ และการเทรดในโลกจริง

ด่วน! เมื่อตลาด Futures “CME Group” ล่ม: เกิดอะไรขึ้น สาเหตุคืออะไร และกระทบพอร์ตคุณแค่ไหน?

ลองจินตนาการว่าคุณกำลังถือสถานะสัญญาฟิวเจอร์ส (Futures) อยู่ แล้วจู่ๆ กราฟหยุดนิ่ง คำสั่งซื้อขายส่งไม่ได้ หน้าจอค้างไปดื้อๆ... นี่คือฝันร้ายของเทรดเดอร์เมื่อ "ตลาดล่ม" ล่าสุดเกิดประเด็นเกี่ยวกับความขัดข้องของ...

ชิปเซมิคอนดักเตอร์ พลิกโฉมรถยนต์ไฟฟ้าและอนาคตการลงทุน

ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิวัติการจราจรและสิ่งแวดล้อม เรื่องที่หลายคนอาจมองข้ามคือชิปเซมิคอนดักเตอร์ที่อยู่เบื้องหลังการทำงานของรถยนต์ไฟฟ้าเหล่านี้ หลายคนอาจไม่ทราบว่าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์นาโนนี้ ไม่ใช่แค่ส่วนประกอบเล็ก ๆ ธรรมดา แต่มีบทบาทอย่างมากในการเพิ่มประสิทธิภาพ และความปลอดภัยของรถยนต์ไฟฟ้าอย่างไม่น่าเชื่อ วันนี้ผมจะพาคุณไปรู้จักกับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า...

Topics

ลูปจัดการอารมณ์ที่กั้นระหว่างเทรดเดอร์รอดกับพอร์ตพัง

ส่วนใหญ่พอร์ตไม่ได้พังเพราะกราฟ แต่พังเพราะเทรดเดอร์ไม่เคยรู้เลยว่า ช่วงไหน “ระบบคุมมือ” ช่วงไหน “อารมณ์คุมมือ”ไม้ที่เข้าเพราะ FOMO ดูเผิน ๆ ก็เหมือนไม้ปกติ แค่เห็นกราฟวิ่ง เห็นคนอื่นโชว์กำไร ก็รีบกดโดยไม่ทันเช็ก RR...

หลายครั้งไม่ได้แพ้ที่ “ทิศทางราคา” แต่แพ้ที่ “เหตุผลในการเข้าไม้”

ฝั่งหนึ่งเข้าเพราะกลัวตกรถ ราคาไปทางไหนก็วิ่งตาม อีกฝั่งหนึ่งเข้าเพราะรู้ชัดว่า ตรงนี้คือโซนได้เปรียบของตัวเอง Risk/Reward คุ้ม และยอมรับผลลัพธ์ได้ถ้าเราเคยไล่ซื้อทุกแท่งเขียว เคยเห็นคนอื่นกำไรแล้วทนไม่ได้ เคยเข้าตามฟีลโดยไม่รู้จุดตัดขาดทุน แปลว่าเรากำลังเล่นเกมแบบ “แมงเม่า / นักพนัน” อยู่เงียบ ๆแต่...

ทำไม CPI ถึง “สำคัญมาก” ทั้งสำหรับคนทั่วไปและคนเทรด

CPI หรือดัชนีราคาผู้บริโภค ไม่ใช่แค่ตัวเลขในข่าวเศรษฐกิจ แต่มันคือกระจกที่สะท้อนว่าค่าครองชีพกำลังกัดกินเงินในกระเป๋าเราเร็วแค่ไหน บทความนี้ชวนคุณมาทำความเข้าใจ CPI ตั้งแต่พื้นฐาน วิธีคิด ไปจนถึงการเอาไปใช้วางแผนการเงิน การทำธุรกิจ และการเทรดในโลกจริง

ด่วน! เมื่อตลาด Futures “CME Group” ล่ม: เกิดอะไรขึ้น สาเหตุคืออะไร และกระทบพอร์ตคุณแค่ไหน?

ลองจินตนาการว่าคุณกำลังถือสถานะสัญญาฟิวเจอร์ส (Futures) อยู่ แล้วจู่ๆ กราฟหยุดนิ่ง คำสั่งซื้อขายส่งไม่ได้ หน้าจอค้างไปดื้อๆ... นี่คือฝันร้ายของเทรดเดอร์เมื่อ "ตลาดล่ม" ล่าสุดเกิดประเด็นเกี่ยวกับความขัดข้องของ...

ชิปเซมิคอนดักเตอร์ พลิกโฉมรถยนต์ไฟฟ้าและอนาคตการลงทุน

ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิวัติการจราจรและสิ่งแวดล้อม เรื่องที่หลายคนอาจมองข้ามคือชิปเซมิคอนดักเตอร์ที่อยู่เบื้องหลังการทำงานของรถยนต์ไฟฟ้าเหล่านี้ หลายคนอาจไม่ทราบว่าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์นาโนนี้ ไม่ใช่แค่ส่วนประกอบเล็ก ๆ ธรรมดา แต่มีบทบาทอย่างมากในการเพิ่มประสิทธิภาพ และความปลอดภัยของรถยนต์ไฟฟ้าอย่างไม่น่าเชื่อ วันนี้ผมจะพาคุณไปรู้จักกับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า...

ผลกระทบจากการปิดทำการรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย: ความเสี่ยงและโอกาสที่นักลงทุนไทยควรจับตามอง

- การปิดทำการรัฐบาลสหรัฐฯ อาจทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการลงทุนของไทยที่พึ่งพาการค้าและเศรษฐกิจสหรัฐฯ - ความไม่แน่นอนจากการปิดทำการรัฐบาลสหรัฐฯ เปิดโอกาสให้ไทยพัฒนาความสัมพันธ์ทางการค้ากับตลาดอื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากภายนอก - นักลงทุนไทยควรระวังความผันผวนของตลาดหุ้นในระยะสั้น แต่ยังควรจับตาดูมาตรการสนับสนุนของรัฐบาลไทยและผลประกอบการบริษัทในประเทศที่จะช่วยหนุนตลาด สถานการณ์การปิดทำการรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาที่อาจยืดเยื้อต่อเนื่อง...

ลองรู้จักกลยุทธ์ลงทุน DCA ที่ช่วยให้สบายใจในตลาดผันผวน

ก่อนอื่นเลย ผมอยากจะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุนที่ชื่อว่า DCA หรือ Dollar-Cost Averaging ที่ผมเห็นว่ามันเหมาะมากกับนักลงทุนทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มที่สนใจในตลาดหุ้นและคริปโตในไทยที่ค่าเงินหรือราคามีความผันผวนแบบสุดๆ อย่างที่เราเห็นกันทุกวันนะครับ DCA...

มาเรียนรู้ Blockchain Layer ชั้นต่างๆ ที่ทำให้โลกคริปโตเดินหน้าอย่างมั่นใจ

สวัสดีครับ วันนี้ผมอยากพาทุกคนมาเจาะลึกเรื่องสำคัญในโลกของคริปโตอย่าง "Blockchain Layer" หรือชั้นต่างๆ ของบล็อกเชน ซึ่งเป็นแกนหลักที่ทำให้ระบบคริปโตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อยากเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ Layer...
spot_img

Related Articles

Popular Categories

spot_imgspot_img